การจัดการทรัพยากรน้ำที่มีคุณธรรม สมดุล และยั่งยืน

องค์ความรู้

บทคัดย่อ: บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำ 2) พัฒนากิจกรรมและเทคโนโลยีพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรน้ำ และ3) สร้างเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีขอบเขตเนื้อหา 3Rs SWOT ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล, รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรน้ำเขต 14 และสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 10 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้นำชุมชน ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และปราชญ์ชาวบ้าน รวมจำนวนทั้งสิ้น 30 คน โดยการวิเคราะห์เนื้อหาสถิติพรรณนา การวิเคราะห์แบบอุปนัย ผลการวิจัย พบว่า 1) กระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำ 3Rs การใช้ฝักบัว ไม่ปลูกพืชในฤดูแล้ง น้ำผ่านการใช้ประโยชน์แล้วกลับมาใช้อีก น้ำจากการซักผ้า ล้างผัก มารดน้ำต้นไม้ น้ำเสียกลับมาบำบัดแล้วนำมาใช้ใหม่ SWOT จุดแข็ง สภาพพื้นที่เป็นราบลุ่มเหมาะแก่การทำเกษตร ประมงน้ำจืด มีแหล่งน้ำธรรมชาติที่เพียงพอและสามารถพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชน จุดอ่อน ประชาชนขาดจิตสำนึกการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปัญหาขยะที่เพิ่มมากขึ้น โอกาส รัฐบาลให้ความสำคัญของหลักเศรษฐกิจพอเพียงและการสนับสนุนส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตร อุปสรรค กฎหมายที่เกี่ยวข้องทำให้การดำเนินงานไม่คล่องตัว 2) พัฒนากิจกรรมและเทคโนโลยีพื้นบ้านการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ โดยการสร้างแก้มลิง การจัดสรรน้ำเพื่อการเกษตร การเปิดปิดประตูน้ำ การอนุรักษ์คุณภาพน้ำ วิธีเกษตรอินทรีย์ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่น ฟื้นฟูคุณภาพน้ำด้วยน้ำหมักชีวภาพ 3) การสร้างเครือข่ายภายในพื้นที่ สร้างความเข้มแข็งในกลุ่มชุมชนการบริหารจัดการน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคอย่างทั่วถึง การให้ความรู้และมีส่วนร่วมในชุมชน
ระบุทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง:    ทฤษฎี 3Rs ครอบคลุมขอบเขตเนื้อหารวม ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการลด (Reduce) ด้านการใช้ซ้ำ (Reuse) และด้านการน้ากลับมาใช้ใหม่ (Recycle) โดยอาศัยฐานคิดสำคัญ จากการศึกษากระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามทฤษฎี SWOT ทั้ง ๔ ด้าน ประกอบด้วย (๑) จุดแข็ง (Strength) (๒) จุดอ่อน (Weakness) (๓) โอกาส (Opportunity) และ (๔) อุปสรรค (Threat) และกระบวนการพัฒนากิจกรรมเทคโนโลยีพื้นบ้าน และสร้างเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ระเบียบวิธีวิจัยโดยย่อ: การศึกษาวิจัยเรื่อง “กระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน พื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี”เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยมีแบบแผนในการวิจัย ดังต่อไปนี้ คือ  แบบแผนการวิจัย การเก็บรวมรวมข้อมูลการวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ ผู้วิจัยได้ปฏิบัติแบบแผนการวิจัยตาม ขั้นตอน ดังนี้

๑) เข้าพบปะแกนนำกลุ่มเป้าหมายเพื่อจัดประชุมวางแผนในการดำเนินกิจกรรมตาม วัตถุประสงค์การวิจัย

๒) ผู้วิจัยประชุมวางแผนกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อศึกษากระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี

๓) จัดทำแผนปฏิบัติการวิจัย

๔) ปฏิบัติการตามแผนที่กำหนดไว้

๕) ถอดบทเรียนหรือสะท้อนผลการปฏิบัติและปรับปรุงแก้ไข

๖) สรุปผลกระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี

วิธีดำเนินการวิจัย ดังนี้

๑. ดำเนินการวิจัย ขอบเขตผู้ให้ข้อมูล ผู้วิจัยทำการกำหนดผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยแบบเจาะจง ผู้ให้ข้อมูลหลักในการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ได้แก่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล, รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน ๑๐ คน ผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรน้ำเขต ๑๔ และสำนักงานกรมทรัพยาการน้ำที่ ๑๐ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน ๕ คน ผู้นำชุมชน ได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จำนวน ๑๐ คนและปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน ๕ คน รวมจำนวนทั้งสิ้น ๓๐ คน ขอบเขตด้านพื้นที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานีได้แก่ ตำบลตะปาน ตำบลกรูด ตำบลท่าสะท้อน ตำบลท่าข้าม และตำบลเขาหัวควาย

๒. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย วิจัยเชิงคุณภาพ เป็นแบบสัมภาษณ์เชิงลึก โดยจัดประเด็นคำถามตามแนวเกณฑ์ชี้วัดกระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำ แบ่งออกเป็น ๔ ตอน ดังนี้ ๑) ข้อมูลส่วนบุคคลได้แก่ชื่อผู้ให้สัมภาษณ์ อายุ วุฒิการศึกษา ตำแหน่งประสบการณ์การทำงาน สถานที่ทำงาน โทรศัพท์ วัน/เวลาที่สัมภาษณ์ ๒) คำถามเกี่ยวกับกระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำ ได้แก่ กระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ละพื้นที่มีการจัดการอย่างไร ด้านการลด (Reduce) ด้านการใช้ซ้ำ (Reuse) ด้านการนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) ๓) คำถามเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรมและเทคโนโลยีพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรน้ำ ได้แก่ การพัฒนากิจกรรมและเทคโนโลยีพื้นบ้านในการจัดการทรัพยากรน้ำ มีแนวทางในการพัฒนาอย่างไร กิจกรรมและเทคโนโลยีพื้นบ้านที่มีอยู่ในปัจจุบัน กิจกรรมและเทคโนโลยีพื้นบ้านที่พัฒนาต่อยอดในอนาคต ๔) คำถามเกี่ยวกับการสร้างเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี

๓. การเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะที่ ๑) วิเคราะห์องค์ความรู้จากเอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ใช้เวลาประมาณ ๒ เดือน ระยะที่ ๒) การสัมภาษณ์เชิงลึก โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะจงกับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ เพื่อนำองค์ความรู้ไปประกอบการศึกษากระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการนำข้อมูลทั้งหมดมาสรุปสังเคราะห์ให้เห็นถึงกระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำ และรูปแบบที่ชัดเจนเพื่อประกอบการใช้เป็นข้อมูลในการนำองค์ความรู้ และบทเรียนจากการวิเคราะห์เอกสาร ๒ เดือน ระยะที่ ๓) สังเคราะห์เพื่อนำองค์ความรู้ไปพัฒนากิจกรรม เทคโนโลยีพื้นบ้าน และสร้างเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยการนำข้อมูลทั้งหมดมาสรุปสังเคราะห์ให้เห็นถึงกระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำในรูปแบบที่ชัดเจน เพื่อประกอบการใช้เป็นข้อมูลในนำองค์ความรู้ และบทเรียนจากการวิเคราะห์เอกสาร และจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญแบบเจาะจงโดยใช้ระยะเวลาประมาณ ๒ เดือน ระยะที่ ๔) การวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลมาสร้างเครือข่ายการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยใช้ระยะเวลาประมาณ ๔ เดือน ระยะที่ ๕) การสรุปผลการวิจัยเพื่อนำเสนอต่อสถาบันวิจัยพุทธศาสน์และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติต่อไปโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 เดือน

๔. การวิเคราะห์ข้อมูล นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) การสังเคราะห์เนื้อหา ตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ ๑) จัดระเบียบข้อมูล ได้แก่ การนำข้อมูลที่ได้มาจากการศึกษาเอกสาร ใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารเชิงเนื้อหา นำเสนอข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา ๒) การแสดงข้อมูล ได้แก่ การนำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ เชิงลึก ใช้วิธีการวิเคราะห์แบบอุปนัย โดยนำข้อมูลมาเรียบเรียงและจำแนกอย่างเป็นระบบ จากนั้นนำมาตีความหมาย เชื่อมโยงความสัมพันธ์และสร้างข้อสรุปจากข้อมูลที่รวบรวมได้ โดยทำไปพร้อมกับการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้เพื่อจะได้ศึกษาประเด็นต่าง ๆ ได้ลึกซึ้ง เมื่อประเด็นใดวิเคราะห์แล้วไม่มีความชัดเจนก็จะตามไปเก็บข้อมูลเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เพื่อตอบคำถามหลักตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ข้อมูลเชิงคุณภาพได้นำมาวิเคราะห์เพื่อหาความเชื่อมโยงความสัมพันธ์เชิงทฤษฎี ๓) การหาข้อสรุป ได้แก่ การตีความหมายและตรวจสอบความถูกต้องของผลการวิจัย ใช้การตรวจสอบและการวิเคราะห์ข้อมูล ในขั้นแรกผู้คณะวิจัยได้ตรวจสอบว่าได้ข้อมูลเพียงพอแล้วหรือยัง ข้อมูลนั้นได้ตอบปัญหาของการวิจัยแล้วหรือไม่ หากผู้วิจัยพบว่าได้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ผู้วิจัยจะตรวจสอบว่าข้อมูลที่แท้จริงเป็นอย่างไร ๔) สรุปผลการวิจัย นำเสนอผลการวิจัย เป็นการเสนอกระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยการพรรณนาโวหาร

องค์ความรู้ใหม่: เกิดรูปแบบใหม่ กระบวนการจัดการทรัพยากรน้ำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน พื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี(แนบโมเดล)
หลักธรรมที่นำมาบูรณาการ: หลักอิทธิบาท 4 และสัปปุริสธรรม 7 เป็นหลักธรรมแกนกลางในการวิจัย
และเชื่อมโยงกับ หลักเศรษฐกิจพอเพียง, คฤหัสถ์ธรรม 4, ไตรสิกขา, และ มัชฌิมาปฏิปทา
เพื่ออธิบาย “การจัดการทรัพยากรน้ำที่มีคุณธรรม สมดุล และยั่งยืน”
ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง (Output) : ๑. นิสิตและชาวบ้านในชุมชนที่เข้าร่วมวิจัย จำนวน ๕๐ คน

๒. บทความตีพิมพ์ในฐาน TCI 1 จำนวน @ บทความ

๓. องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๑ เล่ม

๔. เครือข่าย จำนวน ๔ เครือข่าย

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง (Outcome):

ผลลัพธ์ต่อนิสิต (ด้านการเรียนรู้และการพัฒนาองค์ความรู้)

นิสิตได้เรียนรู้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพอย่างลึกซึ้ง ผ่านการเก็บข้อมูลภาคสนาม การสัมภาษณ์ และการวิเคราะห์แบบอุปนัย เกิดความเข้าใจในแนวคิด 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) และการประยุกต์ใช้ในการจัดการทรัพยากรน้ำในบริบทท้องถิ่น สามารถบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นกับหลักวิชาการสมัยใหม่ เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพื้นบ้านด้านการจัดการน้ำ เช่น น้ำหมักชีวภาพ แก้มลิงขนาดเล็ก เกิดจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ นำไปใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตและพัฒนาโครงการอนุรักษ์ในอนาคต

ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง (Impact):

ผลลัพธ์ต่อ ชุมชน (ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น)

     ชุมชนมีระบบจัดการน้ำอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น การสร้างแก้มลิง การใช้น้ำซ้ำ และการบำบัดน้ำเสียด้วยน้ำหมักชีวภาพ เกิดเครือข่ายการจัดการน้ำภายในชุมชน ที่มีทั้งผู้นำท้องถิ่น เกษตรกร และปราชญ์ชาวบ้าน ทำให้การบริหารทรัพยากรน้ำมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ลดปัญหาการขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง และช่วยให้การใช้น้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภคทั่วถึงมากขึ้นชุมชนตระหนักถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการจัดการขยะ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลคุณภาพน้ำเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ทำให้ชุมชนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีพื้นบ้านได้ด้วยตนเอง

ผลลัพธ์ต่อ สังคม (ในระดับพื้นที่และนโยบายสาธารณะ)

     เกิดต้นแบบการจัดการทรัพยากรน้ำแบบมีส่วนร่วมของท้องถิ่น ที่สามารถนำไปขยายผลในพื้นที่อื่นของจังหวัดสุราษฎร์ธานี

สนับสนุนการดำเนินงานตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง และนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG 6: การจัดการน้ำและสุขาภิบาล)

เสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้เป็นศูนย์กลางการจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกับประชาชน

สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ชุมชน และสถาบันการศึกษา เพื่อการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการในระยะยาว

เป็นข้อมูลเชิงนโยบายในการวางแผนจัดการน้ำระดับจังหวัดและภูมิภาค ที่คำนึงถึงบริบทพื้นที่และภูมิปัญญาท้องถิ่น

การนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์: þ การสร้างองค์ความรู้ใหม่

0 การต่อยอดงานวิจัยเพื่อนำไปสู่ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่

þ การผลักดันนโยบายและกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

0 การส่งเสริมให้ได้รับทุนวิจัยต่อยอดหรือความเป็นหุ้นส่วน

þ การพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

หน่วยงานร่วมขับเคลื่อนงานวิจัย:

(ภาครัฐ, ภาคเอกชน, ภาควิชาการ, คณะสงฆ์ ฯลฯ)

๑. องค์การบริหารส่วนตำบลกรูด อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

๒. องค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

๓. องค์การบริหารส่วนตำบลท่าสะท้อน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

๔. องค์การบริหารส่วนตำบลตะปาน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

๕. วัดประชาวงศาราม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

การเผยแพร่/ประชาสัมพันธ์: þ ห้องวิจัยพุทธศาสตร์อัจฉริยะ BRI LAB

þ วิทยาลัยสงฆ์สุราษฎร์ธานี

ช่องว่างการวิจัย (Research Gap): ๑. แม้จะมีการนำแนวคิด 3Rs (Reduce, Reuse, Recycle) มาใช้ แต่ ยังขาดระบบติดตามและประเมินผลเชิงปริมาณ ว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในระดับครัวเรือนหรือชุมชน

๒. ขาดกลไกเชื่อมโยงระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับหน่วยงานด้านทรัพยากรน้ำระดับจังหวัดหรือประเทศ ทำให้การบูรณาการข้อมูลและการดำเนินงานยังไม่ต่อเนื่อง
๓. แม้มีการใช้เทคโนโลยีพื้นบ้าน เช่น แก้มลิง น้ำหมักชีวภาพ แต่ ยังไม่มีการประเมินประสิทธิภาพเชิงวิทยาศาสตร์ เพื่อยืนยันผลด้านคุณภาพน้ำและความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจ

๔.แม้ว่ามีการสร้างเครือข่ายในพื้นที่ แต่ยังจำกัดอยู่ในระดับชุมชนหรือกลุ่มเกษตรกรบางกลุ่ม ไม่ครอบคลุมระดับอำเภอหรือจังหวัด

Scroll to Top
ห้องวิจัยพุทธศาสตร์อัจฉริยะ BRL: Buddhist Research LAB
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.