“ชอง” พื้นที่ ตัวตนในกระแสการพัฒนา
- ประเภท : ชุมชนต้นแบบ
- ผู้วิจัย : นายปริญญา นิกรกุล ผศ.ดร. วรวิทย์ นพแก้ว ว่าที่เรือตรีเดชิษฐ์ นุ่มมีชัย นายจ่ามยุ้น ลุงเฮือง นางสาวณฐยา ราชสมบัติ
- ที่อยู่ : วิสาหกิจชุมชนนิเวศพิพิธภัณฑ์ชองบ้านช้างทูน หมู่ที่ 1 บ้านคลองขวาง ตำบลตำบลช้างทูน อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด 23140
- สังกัด : ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
- อีเมล : parinya.nik@mcu.ac.th
- แหล่งทุน : สกสว ปี 2567
ประวัติ
“ชอง” พื้นที่ ตัวตนในกระแสการพัฒนา
“Chong” Identity Space in the development trend
การสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในชุมชนภาคตะวันออก พบว่าโครงสร้างทางสังคมและระบบเครือญาติของชาวชองอ่อนแอลงจากการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยม นโยบายที่กระตุ้นให้ประชาชนเข้าสู่ตลาดแรงงานสมัยใหม่ทำให้เยาวชนแยกตัวออกจากชุมชน ส่งผลให้พิธีกรรมดั้งเดิม เช่น
“ผีประจำตระกูล” และ “ประเพณีการแรกนา” ลดความเข้มข้นลงการเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับแนวคิดของมาร์กซ์เกี่ยวกับรัฐและทุนที่ครอบงำโครงสร้างสังคม วิธีการการรักษาวิถีวัฒนธรรมที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในชุมชนภาคตะวันออก พบว่าชุมชนที่ยังคงรักษาวัฒนธรรม เช่น บ้านตะเคียนทอง และบ้านช้างทูน ใช้วิธีผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับระบบเศรษฐกิจใหม่ เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการใช้เทคโนโลยีถ่ายทอดภูมิปัญญา ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างนิยมที่มองว่าวัฒนธรรมสามารถปรับตัวภายใต้โครงสร้างใหม่ เสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายต่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ผ่านวิถี วัฒนธรรม “ชอง” เพื่อรักษาอัตลักษณ์ชอง ควรมี (1) การจัดตั้งเขตอนุรักษ์วัฒนธรรม (2) การบูรณาการหลักสูตรภาษาชองในโรงเรียน (3) การสนับสนุนจากรัฐในการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม และ (4) การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่เชื่อมโยงกับทุนวัฒนธรรม แนวทางนี้สนับสนุนมุมมองของบูร์ดิเยอที่ว่า “ทุนวัฒนธรรมสามารถสร้างอำนาจต่อรองและรักษาอัตลักษณ์ได้”

สรุปผลการวิจัย
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายจากภาครัฐและกระแสทุนโลกาภิวัตน์ที่ส่งผลต่อวิถีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในชุมชนภาคตะวันออก โดยพิจารณาผ่านกรอบแนวคิดของ บูร์ดิเยอ (Bourdieu) ว่าด้วยทุนทางวัฒนธรรมการจัดการแบบโครงสร้างนิยม (Structuralism) และเศรษฐศาสตร์การเมืองของลัทธิมาร์กซ์ ซึ่งช่วยให้เข้าใจมิติของอำนาจทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มชาติพันธุ์ชอง บทสรุปของงานวิจัยนี้สามารถแบ่งออกเป็นสามประเด็นหลัก ดังนี้
- การสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในชุมชนภาคตะวันออก พบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแบบทุนนิยมส่งผลให้ ระบบเครือญาติและโครงสร้างทางสังคมของชาวชองอ่อนแอลง เมื่อเยาวชนออกไปทำงานนอกพื้นที่ความต่อเนื่องของวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น พิธีละเล่นผีหิ้ง พิธีไหว้ครู และภาษาชอง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษานี้สอดคล้องกับแนวคิดของ มาร์กซ์ ที่มองว่ารัฐและทุนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของชนพื้นเมือง นโยบายด้านการใช้ที่ดินของรัฐส่งผลให้พื้นที่ทางวัฒนธรรมของชาวชองถูกจำกัดลง เช่น การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลงจากข้อจำกัดด้านป่าไม้และที่ดิน ทำให้วิถีการดำรงชีพแบบดั้งเดิม เช่น การทำเกษตรเพื่อยังชีพ การหาของป่า และการล่าสัตว์ลดลง
- วิธีการการรักษาวิถีวัฒนธรรมที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในชุมชนภาคตะวันออก แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่บางชุมชนยังสามารถ ปรับตัวและรักษาวัฒนธรรมของตนเองได้ ผ่านการฟื้นฟูพิธีกรรม เช่น บ้านตะเคียนทองและบ้านช้างทูนยังคงจัดพิธีกรรมและเทศกาลสำคัญ รวมถึง การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่ใช้ทุนทางวัฒนธรรมในการสร้างเศรษฐกิจชุมชน แนวทางนี้สะท้อนถึงแนวคิดของ บูร์ดิเยอ ที่ว่า “ทุนวัฒนธรรมสามารถสร้างอำนาจต่อรองในการคงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ได้” นอกจากนี้การนำภาษาชองกลับมาใช้ในโรงเรียนและการบันทึกองค์ความรู้ผ่านสื่อใหม่ เป็นกลไกสำคัญในการรักษาอัตลักษณ์ของชาวชอง
- ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ผ่านวิถี วัฒนธรรม “ชอง”เพื่อรักษาวัฒนธรรมของชาวชอง ควรมีแนวทางเชิงนโยบายที่ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโดยคำนึงถึงรากเหง้าทางวัฒนธรรม ได้แก่ การจัดตั้งเขตอนุรักษ์วัฒนธรรม เพื่อเป็นพื้นที่กลางสำหรับสืบทอดประเพณีและกิจกรรมของชาวชอง การบรรจุภาษาชองเป็นภาษาทางเลือกในโรงเรียน เพื่อฟื้นฟูและรักษาภาษา สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยให้ชาวชองมีบทบาทหลักในการจัดการ นโยบายที่เอื้อต่อเศรษฐกิจชุมชน เช่น การสนับสนุนผลิตภัณฑ์พื้นบ้านและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
จากการศึกษาพบว่า วัฒนธรรมของชาวชองกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต อันเป็นผลมาจากโครงสร้างรัฐและทุนที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต อย่างไรก็ตาม ยังมีแนวทางที่สามารถรักษาอัตลักษณ์ของชาวชองได้ หากมีการสนับสนุนจากรัฐและองค์กรต่างๆ อย่างเป็นระบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดโครงสร้างนิยมที่มองว่าวัฒนธรรมสามารถคงอยู่ได้ภายใต้โครงสร้างที่เหมาะสม ดังนั้น การพัฒนาเชิงพื้นที่ที่คำนึงถึงวิถีวัฒนธรรมของชาวชองจะเป็นแนวทางที่สมดุลที่สุดในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชน
อภิปรายผลการวิจัย
การวิเคราะห์วัฒนธรรมของชุมชนชองในภาคตะวันออก ผ่านแนวคิดของ (Pierre Bourdieu, 1994 1997) ได้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและพลวัตของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชนนี้อย่างลึกซึ้ง โดยแนวคิด ทุนทางวัฒนธรรม ได้อธิบายว่าภาษา ประเพณี และความรู้ท้องถิ่นที่เคยเป็นรากฐานสำคัญของอัตลักษณ์ชาวชอง กำลังถูกลดทอนความสำคัญลง เมื่อคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับทุนทางสังคมและเศรษฐกิจที่ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในสังคมสมัยใหม่มากกว่า การปรับตัวนี้นำไปสู่ความแตกต่างในชุมชน ระหว่างกลุ่มที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้กับกลุ่มที่ปรับตัวตามกระแสสมัยใหม่ในขณะเดียวกัน แนวคิดเรื่อง habitus อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมและวิธีคิดของชาวชอง ที่ถูกหล่อหลอมโดยโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจใหม่ คนรุ่นใหม่ไม่เพียงละเลยการใช้ภาษาและประเพณีชองเท่านั้น แต่ยังสร้างรูปแบบการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมสมัยใหม่และเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ habitus ของชุมชนเปลี่ยนไปจากเดิม
อย่างไรก็ตาม ชาวชองยังคงพยายามรักษาอัตลักษณ์ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การสอนภาษาชองในโรงเรียน การจัดงานประเพณี และการทำบุญประจำปี สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรม เพื่อรักษาความเป็นชองเอาไว้ในบริบทของการเปลี่ยนแปลง สุดท้าย การต่อรองเชิงวัฒนธรรมที่ชาวชองเผชิญ คือกระบวนการเลือกระหว่างการรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมกับการปรับตัวเข้ากับโลกภายนอก การจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมและกิจกรรมส่งเสริมเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมจึงเป็นความพยายามที่สำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาอัตลักษณ์และการปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
บริบทของเศรษฐศาสตร์การเมืองและทฤษฎีสังคมวิพากษ์ (ปรีชา เปี่ยมพงศ์สานต์, 2556 2567) ชุมชนชองในภาคตะวันออกของไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมภายใต้โครงสร้างของ “ระบบทุนนิยม” และ “การพัฒนาเศรษฐกิจ” ที่มุ่งเน้นการขยายตัวของตลาดมากกว่าการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม โดยอิทธิพลของ “ระบบเศรษฐกิจ” และ “นโยบายรัฐ” ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชุมชนจาก “เกษตรกรรมดั้งเดิมที่พึ่งพิงทรัพยากรท้องถิ่น” ไปสู่ “การผลิตเชิงพาณิชย์” และ “การพึ่งพาตลาดภายนอก” ซึ่งทำให้ชุมชนสูญเสีย “ความพึ่งพาตนเอง” และ “ทุนทางวัฒนธรรม” เช่น ภาษา และ ประเพณีท้องถิ่น ขณะเดียวกัน “การเข้ามาของวัฒนธรรมจากภายนอก” เช่น วัฒนธรรมไทย และ “กระแสโลกาภิวัตน์” ได้เปลี่ยนแปลง “ระบบคุณค่าภายในชุมชน” ให้เน้น “ทุนทางเศรษฐกิจ” มากกว่าทุนทางสังคมหรือวัฒนธรรม แนวคิด เศรษฐศาสตร์การเมือง และ ทฤษฎีสังคมวิพากษ์ ช่วยเปิดเผยถึง “โครงสร้างที่สร้างความไม่เท่าเทียมกัน” โดยเฉพาะการที่รัฐมุ่งเน้น “พัฒนาเศรษฐกิจ” โดยละเลยการสนับสนุน “การอนุรักษ์วัฒนธรรม” ส่งผลให้ชาวชองต้องเผชิญกับ “การลิดรอนสิทธิทางวัฒนธรรม” และ “การสูญเสียอัตลักษณ์”
อย่างไรก็ตาม ชุมชนได้พยายามต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่าน “การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรม” เช่น “การสอนภาษาชองในโรงเรียน” และ “การฟื้นฟูประเพณี” เพื่อสร้าง “พื้นที่วัฒนธรรม” ที่ช่วยรักษา “อัตลักษณ์ของชุมชน” และสร้าง “ความสมดุลระหว่างการปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่” และ “การรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิม” แนวคิด “นิเวศวิทยาการเมือง” ยังเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของ “การอนุรักษ์วัฒนธรรม” ร่วมกับ “การดูแลสิ่งแวดล้อม” เพื่อสร้าง “ความยั่งยืน” ให้แก่ชุมชนในระยะยาว ท่ามกลางแรงกดดันจาก “ระบบทุนนิยม” และ “การเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยา” ชาวชองยังคงแสดงให้เห็นถึง “ความพยายามที่จะรักษาอัตลักษณ์ของตนเอง” และ “สร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม” ไปพร้อมกัน
การวิเคราะห์กรณีศึกษาวัฒนธรรมชองในกรอบแนวคิดของรัฐตามลัทธิมาร์กซ์ เผยให้เห็นบทบาทของรัฐในฐานะกลไกที่ “ครอบงำทางชนชั้น” และ “สร้างอุดมการณ์”เพื่อค้ำจุนอำนาจของชนชั้นปกครอง ตามแนวคิดของ Ernest Mandel และ Althusser Louis (อัลธูแชร์ หลุยส์ กาญจนา แก้วเทพ แปล, 2557; Ernest Mandel ผู้เขียน กนกศักดิ์ แก้วเทพ ผู้แปล, 2559) การพัฒนาทางเศรษฐกิจในชุมชนชอง เช่น “การเปลี่ยนแปลงจากเกษตรกรรมดั้งเดิมสู่การผลิตเชิงพาณิชย์” แสดงให้เห็นว่า รัฐทำงานในฐานะเครื่องมือรับใช้ชนชั้นปกครอง โดยสร้างความชอบธรรมให้กับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการสูญเสีย “ทุนทางวัฒนธรรม” เช่น การลดลงของการใช้ภาษาและประเพณีดั้งเดิมของชุมชน ขณะเดียวกัน “กลไกทางอุดมการณ์ของรัฐ” เช่น ระบบการศึกษา และ สื่อมวลชน ได้ทำหน้าที่ส่งเสริม “อุดมการณ์ของชนชั้นปกครอง” ให้กลายเป็นกระแสหลักในสังคม การศึกษาแบบมาตรฐานที่ไม่ได้เน้นการอนุรักษ์ภาษาและวัฒนธรรมชองกลายเป็นเครื่องมือในการ “กลืนกลายทางวัฒนธรรม” ทำให้ชาวชองต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของกระแสหลักในมุมของ Mandel การแบ่งงานกันทำในชุมชนชองได้เปลี่ยนแปลงจากการพึ่งพาทุนทางวัฒนธรรมสู่ระบบทุนนิยมที่เน้น “การผลิตเพื่อกำไร” ส่งผลให้ชุมชนสูญเสียวิถีชีวิตและความร่วมมือแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐจะสร้างความครอบงำทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม แต่ชาวชองยังคงพยายาม “ฟื้นฟูอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม” ผ่านการจัดตั้งศูนย์การศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมและการจัดกิจกรรมประเพณี เพื่อสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ช่วยให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของมรดกดั้งเดิม การพยายามนี้ถือเป็นการ “ต่อต้านกลไกทางอุดมการณ์ของรัฐ” และเป็นความพยายามในการรักษาอัตลักษณ์ท่ามกลางแรงกดดันของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการกลืนกลายทางวัฒนธรรม
การวิเคราะห์วัฒนธรรมชองผ่านแนวคิดการจัดการแบบโครงสร้างนิยม การศึกษากรณีวัฒนธรรมชองโดยอิงแนวคิดของ (P. Ricoeur, 1974; E. Leach,1970;R. Barthes, 1977) ช่วยให้เข้าใจถึงบทบาทของโครงสร้างและการตีความในกระบวนการสร้างความหมายและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในชุมชน แนวคิด โครงสร้างนิยม และ การตีความ (hermeneutics) ของ Ricoeur อธิบายถึงการที่วัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น ภาษา และ ประเพณี ของชาวชองที่เคยทำหน้าที่เป็นโครงสร้างความหมายหลักในชุมชน กำลังถูกแทนที่ด้วยโครงสร้างใหม่จาก วัฒนธรรมภายนอก และ การพัฒนาเศรษฐกิจ การตีความวัฒนธรรมและพิธีกรรมดั้งเดิม เช่น การทำบุญหรือการใช้ภาษา อาจช่วยฟื้นฟูและรักษาความหมายลึกซึ้งของวัฒนธรรมเหล่านี้
ในมุมมองของ Edmund Leach สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่เคยถูกใช้สร้างความชอบธรรมและอัตลักษณ์ในชุมชน เช่น พิธีกรรมและภาษา กำลังเผชิญกับความไม่ชอบธรรมเมื่อถูกแทนที่ด้วย สัญลักษณ์ใหม่จากวัฒนธรรมภายนอก การฟื้นฟูบทบาทของสัญลักษณ์ดั้งเดิมจึงมีความสำคัญต่อการรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวชอง Roland Barthes เพิ่มมุมมองเกี่ยวกับบทบาทของ “ภาพและสัญลักษณ์” ที่ทำหน้าที่เป็นวาทกรรมทางวัฒนธรรมซึ่งสื่อถึงความหมายของอัตลักษณ์และความเป็นชุมชน การจัดงานประเพณีดั้งเดิมในชุมชนชองอาจแสดงออกถึงความพยายามในการฟื้นฟูอัตลักษณ์ที่ถูกคุกคามจาก การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และ การกลืนกลายทางวัฒนธรรม Barthes ยังเสนอแนวคิดเรื่อง “ความหมายที่สาม” ที่เกิดจากความคลุมเครือในวัฒนธรรมดั้งเดิมที่คนรุ่นใหม่ไม่สามารถเชื่อมโยงได้ชัดเจน สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความสับสนในอัตลักษณ์ของชุมชนและการเปลี่ยนผ่านระหว่างวัฒนธรรมเก่าและใหม่

องค์ความรู้ที่ได้รับ
การศึกษาวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชองในบริบทของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนภาคตะวันออกเผยให้เห็นถึงกระบวนการสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมที่เกิดจากการแทรกซึมของวัฒนธรรมภายนอกและการเปลี่ยนแปลงเชิงเศรษฐกิจ แนวคิดของ Bourdieu เกี่ยวกับ “Distinction” และการสร้างรสนิยมทางสังคมชี้ให้เห็นว่าการที่ชาวชองสูญเสียการใช้ภาษาและประเพณีเป็นผลมาจากการถูกบังคับให้ปรับตัวเข้ากับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เน้นการพัฒนาแบบตะวันตก ซึ่งให้คุณค่ากับอัตลักษณ์แบบชนชั้นกลางมากกว่าความเป็นท้องถิ่น อีกทั้ง ทฤษฎีของ Althusser และ Mandel ที่มองว่ารัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครอง ชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่ไม่ได้คำนึงถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นมีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างความไม่เท่าเทียมกันและกดทับวัฒนธรรมท้องถิ่น นโยบายและโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอาจนำมาซึ่งการลดทอนความสำคัญของวัฒนธรรมชอง ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่รัฐสนับสนุนกลไกทางเศรษฐกิจมากกว่าการอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่น การสืบทอดวัฒนธรรมชองผ่านการศึกษาและการสร้างความตระหนักรู้ในชุมชนกลับเป็นวิธีการที่มีศักยภาพในการรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม การเน้นการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมผ่านระบบโรงเรียนและการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้วิถีชีวิตดั้งเดิมสูญหายตามกระแสการพัฒนา การส่งเสริมความตระหนักรู้เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับคุณค่าของวัฒนธรรมชองอาจช่วยสร้างการฟื้นฟูทางวัฒนธรรมในระยะยาวได้จึงนำมาสู่
- Cultural Identity การอนุรักษ์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมภายใต้แรงกดดันของการพัฒนาสมัยใหม่ เน้นถึงความสำคัญของการรักษาประเพณีและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ชอง ความเชื่อและภาษาท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางของอัตลักษณ์
- Economic Integration การผสานรวมมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับโมเดลเศรษฐกิจท้องถิ่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อสร้างรายได้และการจ้างงานในชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
- Community Involvement การเพิ่มบทบาทของชุมชนในการตัดสินใจด้านวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของชุมชนในกิจกรรมทางวัฒนธรรม เช่น การจัดงานเทศกาลและการฝึกอบรม
- Policy Recommendations กรอบนโยบายที่คำนึงถึงความต้องการของชุมชนเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งพื้นที่อนุรักษ์ทางวัฒนธรรม และให้การสนับสนุนทางการเงินการพัฒนานโยบายที่ส่งเสริมภาษาถิ่นในโรงเรียน
- Language Revival การฟื้นฟูภาษาในท้องถิ่นผ่านระบบการศึกษาและสื่อ ส่งเสริมการใช้ภาษาในครอบครัวและในกิจกรรมชุมชน การจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนโดยใช้ภาษาแม่เป็นทางเลือก
- Sustainable Practices การนำวิธีปฏิบัติแบบดั้งเดิมมาใช้ในบริบทสมัยใหม่สนับสนุนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เช่น สมุนไพรท้องถิ่นและการเกษตรแบบดั้งเดิม
แผนภาพนี้แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างองค์ความรู้ใหม่ในด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรม การพัฒนาเศรษฐกิจ และการมีส่วนร่วมของชุมชน ซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวชอง โดยเน้นให้เห็นถึงการฟื้นฟูภาษาและการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาเชิงนโยบายที่เหมาะสมและครอบคลุมทุกมิติของความเป็นชอง



ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
1.ควรส่งเสริมการศึกษาในโรงเรียนที่บรรจุเนื้อหาที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษาชอง เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีความเข้าใจและเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมดั้งเดิม โดยจัดให้มีการสนับสนุนการสอนภาษาชองในสถานศึกษาและชุมชนอย่างจริงจัง
2.รัฐควรสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมชองในพื้นที่ เพื่อเป็นพื้นที่ในการอนุรักษ์ ถ่ายทอด และฟื้นฟูวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยควรได้รับงบประมาณสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐ
3.นโยบายการพัฒนาพื้นที่ควรคำนึงถึงการรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชนในการออกแบบและดำเนินนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชิงพื้นที่
ข้อเสนอแนะในทางปฏิบัติ
1.ควรส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรมในชุมชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดงานประเพณีท้องถิ่น การแสดงศิลปะวัฒนธรรม และการทำอาหารพื้นบ้าน เพื่อให้คนในชุมชนโดยเฉพาะเยาวชนได้มีส่วนร่วมและเรียนรู้วัฒนธรรมของตนเอง
2. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนชองและองค์กรต่างๆ เช่น องค์กรท้องถิ่น สถาบันการศึกษา และองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรม
3. ควรส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น งานหัตถกรรมสมุนไพรท้องถิ่น และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยให้ความช่วยเหลือด้านการตลาดและการบริหารจัดการให้แก่ชุมชน เพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืน
ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
1. การวิจัยในอนาคตควรเน้นศึกษาผลกระทบของการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มีต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ชอง เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนากับการสูญเสียวัฒนธรรมในระดับลึก
2.ควรมีการวิจัยเกี่ยวกับกลไกที่ส่งผลให้เยาวชนในชุมชนชองสนใจและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์วัฒนธรรม เพื่อออกแบบนโยบายและกิจกรรมที่เหมาะสมในการสร้างการมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน
3.ควรขยายการวิจัยไปยังกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่มีลักษณะวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับชอง เพื่อเปรียบเทียบและนำเสนอแนวทางการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพในบริบทที่หลากหลายมากขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
https://so06.tci-thaijo.org/index.php/prij/article/view/279546/188619