หมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบในจังหวัดปทุมธานี

องค์ความรู้

งานวิจัยเรื่อง “การดำเนินการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบในจังหวัดปทุมธานี” มีวัตถุประสงค์ คือ

  1. เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา อุปสรรค การดำเนินการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบในจังหวัดปทุมธานี
  2. เพื่อศึกษาองค์ประกอบของกระบวนการดำเนินการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบในจังหวัดปทุมธานี
  3. เพื่อพัฒนารูปแบบการดำเนินการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบในจังหวัดปทุมธานี

องค์ความรู้จากงานวิจัย

 จากแผนภาพ อธิบายได้ว่า การดำเนินการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบในจังหวัดปทุมธานี มีจุดเด่นหรือจุดแข็ง คือ มีเจ้าคณะผู้ปกครองที่มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการ มีภาคีเครือข่ายที่ร่วมสนับสนุนพัฒนาโครงการให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

กระบวนการบริหารจัดการโครงการ ประกอบด้วย

  1. การวางแผน : มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วย ตัวแทนวัด ชุมชน และองค์กรภาครัฐ มีการกำหนดนโยบายและประกาศให้วัด ชุมชนและองค์กรที่เข้าร่วมรับทราบ
  2. การปฏิบัติ : มีการบูรณาการความร่วมมือจากคณะสงฆ์ ส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน ภาคเอกชน ประชาชนและองค์กรเครือข่ายความร่วมมือทางพระพุทธศาสนาในทุกภาคส่วนในรูปของคณะกรรมการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ระดับ จังหวัด อำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน สร้างสังคมประเทศชาติให้มีความปรองดอง สมานฉันท์ ลดปัญหาความขัดแย้ง สร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้สังคมสงบ ร่มเย็น และเกิดสันติสุขอย่างยั่งยืน โดยใช้กลไกทางพระพุทธศาสนา โดยได้ดำเนินงานตามแผนทั้ง 3 ระยะ และมีขั้นตอนการดำเนินงานคือ 1) แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน 2)การขับเคลื่อนดำเนินงาน 3) การประเมินผลและรายงานผล
  3. การตรวจสอบ มีการรายงานสรุปผลการดำเนินโครงการ มีการสัมภาษณ์ประชาชนในพื้นที่ถึงปัญหาและอุปสรรค และข้อเสนอแนะในการดำเนินโครงการ
  4. การปรับปรุง มีการนำผลการดำเนินงานในภาพรวมมาดำเนินการตามข้อเสนอแนะ มีการประชุมคณะกรรมการดำเนินโครงการเพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาโครงการ เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้ามามีส่วนร่วม และเน้นประชาชน หมู่บ้าน วัด โรงเรียน เป็นศูนย์กลางในการพัฒนา

การดำเนินการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบในจังหวัดปทุมธานี เกิดการพัฒนารูปแบบได้ด้วยนำหลักการดำเนินงานคณะสงฆ์ 6 ด้าน มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ดังนี้

  1. ด้านการปกครอง ทำให้เกิดการสร้างความมั่นคงด้านพระพุทธศาสนา ด้วยการปลูกฝังศรัทธาในพระพุทธศาสนาผ่านกิจกรรมต่าง ๆ และยกระดับกระบวนการบริหารจัดการภายใน โดยอาศัยความร่วมมือภาคีเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อให้เกิดสัมฤทธิผล
  2. การศาสนศึกษา ทำให้เกิดการพัฒนาการบริหารจัดการในการศึกษาบาลี นักธรรมศึกษาบูรณาการอย่างเป็นระบบ และให้มีคณะกรรมการการศึกษาพระพุทธศาสนาในระดับจังหวัดเพื่อบูรณาการการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับพระภิกษุสามเณรและประชาชนทั่วไป
  3. การศึกษาสงเคราะห์ ทำให้เกิดการจัดการศึกษาให้แก่พุทธศาสนิกชนที่เน้นการปลูกฝังศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมให้แก่เด็กและเยาวชนให้มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ
    หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
  4. การเผยแผ่พระพุทธศาสนา ทำให้การประกาศพระพุทธศาสนาหรือการประชาสัมพันธ์โครงการให้ประชาชนให้รับรู้รับทราบในทุกๆ วิธีการที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยเพื่อให้พุทธศาสนิกชนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมแล้วนำไปประยุกต์ใช่ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การเทศนา การปาฐกถาในโอกาส และสถานที่ต่าง ๆ ทั้งภายในวัดและภายนอกวัด การบรรยายธรรมทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ การเผยแผ่ธรรมด้วยสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือวีดีทัศน์ Website Facebook Line ภารกิจด้านนี้ครอบคลุมถึงการที่วัดหรือภิกษุสงฆ์จัดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นภายในวัดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแผ่ธรรมหรือต้องการให้ประชาชนได้เข้าวัดปฏิบัติธรรมนอกจากนี้ยังมีการเผยแผ่ธรรมที่คณะสงฆ์ร่วมกับกรมการศาสนาจัดให้ดำเนินการในรูปแบบหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) เป็นต้น
  5. การสาธารณูปการ ทำให้เกิดการเกี่ยวกับการพัฒนาวัดด้านอาคาร สถานที่และสิ่งแวดล้อม การบูรณปฏิสังขรณ์ในเขตพุทธาวาส และเขตสังฆาวาส
  6. การสาธารณสงเคราะห์ ทำให้เกิดการให้ความช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัยมุ่งเน้นประโยชน์ และความสุขที่จะเกิดแก่ประชาชนเป็นสำคัญ ได้แก่ การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยทางธรรมชาติทั้งในด้านของเครื่องนุ่งห่ม เครื่องดื่ม ยารักษาโรค ที่พักพิง จัดตั้งให้มีโรงทาน จัดสร้างโรงพยาบาลโดยการบริจาคทรัพย์ส่วนตัว หรือชักชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกันบริจาคทรัพย์ หรือการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เป็นต้น

องค์ความรู้ที่ได้สังเคราะห์จากการวิจัย

“การดำเนินการโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ต้นแบบในจังหวัดปทุมธานี” ประกอบด้วยหลักการสำคัญ ได้แก่

  1. ร่วมกันสืบสาน คือ การเข้าใจและปฏิบัติตามหลักของศีล 5 เป็นบทบัญญัติพื้นฐานของพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความดีงามต่อบุคคลและสังคม ศีล 5 คือ “บทบัญญัติพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม” การล่วงละเมิดศีล ก็คือ การละเมิดต่อหลักการอยู่ร่วมกันของสังคม เพราะเป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน การอยู่ร่วมกันในสังคมจึงต้องมีหลักการพื้นฐาน ของการอยู่ร่วมกัน ศีลเป็น “หลักประกันของชีวิต” ผู้ที่รักษาศีลย่อมมีหลักประกันความมั่นคงของชีวิต เมื่อเรา ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่มีการเบียดเบียน ไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย ไม่ลักขโมย ย่อมจะได้ชื่อว่า รักษาชีวิต ทรัพย์สิน ครอบครัว ความมีสัจจะ มิตรภาพ และสติปัญญาของตนเอง นอกจากนี้ ศีล 5 ยังเป็น “หลักมนุษยธรรม” บุคคลผู้ที่รักษาศีลย่อมจะทำ ให้ความเป็นมนุษย์มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เนื่องจากการมี “เจตนา” ความตั้งใจที่จะงดเว้นจากการประพฤติที่ไม่ดีงามทั้งหลาย เช่น กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต และเป็นเจตนาแห่งความสำรวมระวังเพื่อปิดกั้นหนทางความชั่วร้ายที่เกิดจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ดังนั้น กิจกรรมการส่งเสริมโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 จึงประกอบด้วยหลักศีลธรรม เพื่อเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันของ คนในสังคมและการส่งเสริมวิถีวัฒนธรรมเชิงพุทธเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดี
  2. ร่วมกันรักษา คือ การผสานความร่วมมือกันของภาคีเครือข่ายในการดำเนินโครงการมีทั้งพระสงฆ์ ประชาชน หน่วยงานราชการ และองค์กรอื่น ๆ ที่ได้มาร่วมมือกันในการจัดกิจกรรม
    ส่งเสริมการพัฒนาชีวิตตามหลักศีล 5 เพื่อสร้างหลักประกันให้บังเกิดความสงบสุขและปลอดภัยในการดำเนินชีวิตยิ่งขึ้นนั้น หากทุกภาคส่วนได้มีการร่วมทำกิจกรรมและมีส่วนร่วมด้วยกันก็ยิ่งทำให้การพัฒนาชีวิตตามหลักศีล 5 ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น
  3. ร่วมกันต่อยอด คือ การนำแผนงานต่าง ๆ ไปสู่การปฏิบัติให้ได้ เข้าถึงพื้นที่และออกไปสัมผัสถึงกับสิ่งที่คนในพื้นที่ต้องการจริง ๆ เข้าถึงความจริง ส่งเสริมการจัดกิจกรรมให้มีความยั่งยืนโดยมีวัดเป็นศูนย์กลางในการดําเนินงานบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมดําเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ชุมชนมีการร่วมการแสดงความคิดเห็น ร่วมกันวางแผน นําไปสู่การปฏิบัติและติดตามผล
  4. ร่วมกันถ่ายทอด คือ การที่พระสงฆ์เป็นผู้นำในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยใช้วัดเป็นศูนย์กลาง ในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน ตามกรอบการดำเนินงานของคณะสงฆ์และของ
    หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.) ที่กำหนดไว้ 8 ด้าน คือ 1) ศีลธรรมและวัฒนธรรม 2) สุขภาพอนามัย 3) สัมมาชีพ 4) สันติสุข 5) ศึกษาสงเคราะห์ 6) สาธารณสงเคราะห์ 7) กตัญญูกตเวทิตาธรรม 8) สามัคคีธรรม และการนำ 7 กิจวัตรความดี มาสร้างเสริมเข้าไปในการดำเนินชีวิตของประชาชน อันได้แก่ 1) รักษาศีล 5 กล่าวคือ การสำรวมกาย และวาจา ของเราให้ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น 2) สวดมนต์ นั่งสมาธิ กล่าวคือ การฝึกใจให้หยุดนิ่งเป็น ซึ่งจะทำให้ใจเราสะอาดและเข้มแข็ง พบความสุขภายใน จนไม่อยากคิดร้ายทำลายใคร กำลังใจในการทำความดีก็มีมากขึ้น 3) สะอาด และระเบียบ กล่าวคือ การมีความรับผิดชอบ ทำความสะอาด จัดระเบียบสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รวบตัวให้ดี 4) คิดดี…จับดีคนรอบข้าง กล่าวคือ การฝึกสังเกตให้เห็นความดีของผู้อื่น ทำให้จิตใจชุ่มเย็น ไม่อารมณ์เสียง่าย อีกทั้งยังได้ต้นแบบความดีของผู้อื่นกลับมาพัฒนาตนเอง 5) พูดดี…มีวาจาสุภาษิต กล่าวคือ การสื่อสารด้วยท่าทางและคำพูดที่สุภาพ ไม่หยาบคาย ไม่เหยียดหยามดูแคลนจะทำให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ 6) ทำดี…ออมบุญ บำเพ็ญประโยชน์ กล่าวคือ การเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุข เป็นหนทางลัดที่จะทำให้ตัวเราเองมีความสุขไปด้วย เมื่อฝึกฝนทำเป็นประจำ ก็จะทำให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เป็นสังคมที่น่าอยู่ และ 7) ร่วมกิจกรรมชั่วโมงสุขหนอ กล่าวคือ การได้อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ทำกิจวัตรความดีแบบเดียวกัน แล้วสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ได้มาทำกิจกรรมดี ๆ ร่วมกัน อาทิ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ชมสื่อดี ๆ สร้างแรงบันดาลใจ ตอกย้ำประโยชน์ของการทำความดี แลกเปลี่ยนข้อคิดที่ได้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำดีร่วมกัน จะเป็นการใช้พลังหมู่เพื่อเสริมพลังเดี่ยว ทำให้ตัวเราและเพื่อน ๆ ทุกคนมีกำลังใจทำความดีได้ต่อเนื่องและยั่งยืน
Scroll to Top
ห้องวิจัยพุทธศาสตร์อัจฉริยะ BRL: Buddhist Research LAB
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.