GREEN TEMPLE Model การจัดการสิ่งแวดล้อมวัดเชิงนิเวศ

องค์ความรู้

TEMPLE GREEN Model การจัดการสิ่งแวดล้อมวัดเชิงนิเวศ องค์ความรู้ที่ได้รับจากการวิจัยเรื่องการออกแบบระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในวัดเพื่อยกระดับเป็นต้นแบบวัดเชิงนิเวศ จังหวัดนครปฐม สามารถอธิบายรายละเอียดได้ดังนี้

๑. TEMPLE: ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมในวัด

เป็นระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในวัดเพื่อยกระดับเป็นวัดเชิงนิเวศ ประกอบด้วย ๖ องค์ประกอบหลัก ดังนี้

๑.๑) T: Temple วัด

การจัดการสิ่งแวดล้อมในวัดตามองค์ประกอบด้านนี้มีแนวทางการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม คือ ๑) วัดต้องมีการกำหนดนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของวัด โดยเกิดขึ้นจากการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนร่วมกันจัดทำนโยบายที่ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ครอบคลุมประเด็นสำคัญ เช่น การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะ การรักษาความสะอาด และการพัฒนาภูมิทัศน์ นโยบายควรมีการประกาศให้ทุกคนได้รับทราบอย่างทั่วถึง จัดทำเป็นป้ายประชาสัมพันธ์ติดตั้งในจุดที่เห็นได้ชัดเจน หรือเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของวัด ๒) การจัดทำแผนงานและโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เริ่มจากการสำรวจสภาพปัญหาและความต้องการด้านสิ่งแวดล้อมของวัด จากนั้นนำมาจัดทำเป็นแผนระยะสั้น 1 ปี และแผนระยะยาว 3-5 ปี โดยกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด กิจกรรม งบประมาณ และผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เช่น โครงการธนาคารขยะรีไซเคิล โครงการวัดสวยด้วยมือเรา โครงการประหยัดพลังงาน โครงการปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว โครงการพัฒนาห้องน้ำสะอาด และโครงการครัววัดปลอดภัยใส่ใจสิ่งแวดล้อม แต่ละโครงการควรมีการติดตามประเมินผลและรายงานความก้าวหน้าอย่างสม่ำเสมอ ๓) การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก วัดควรประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อขอรับการสนับสนุนด้านวิชาการ งบประมาณ และทรัพยากรในการดำเนินงาน และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับวัดอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของวัด

๑.๒) E: Environmental สิ่งแวดล้อม

การจัดการสิ่งแวดล้อมในวัดมีแนวทางการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม คือ ๑) การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของวัด สำรวจและวิเคราะห์กิจกรรมต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดงานเทศกาลที่มีผู้คนมาร่วมงานจำนวนมาก การก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใหม่ การจัดการน้ำเสียจากครัววัดและห้องน้ำ การเผาขยะหรือใบไม้ในวัด มีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น การจัดระบบการจราจรและที่จอดรถในงานเทศกาล การติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย การจัดการขยะแบบครบวงจร การควบคุมเสียงจากการจัดกิจกรรม ๒) การจัดทำระบบฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของวัด ควรรวบรวมข้อมูลที่สำคัญ เช่น ปริมาณการใช้ไฟฟ้าและน้ำรายเดือน ปริมาณและประเภทของขยะที่เกิดขึ้น พื้นที่สีเขียวและต้นไม้ใหญ่ในวัด คุณภาพน้ำในคลองหรือบ่อน้ำ ข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมจากชุมชน โดยจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบในรูปแบบของแฟ้มเอกสารและไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ มีการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ และนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมของวัด รวมทั้งจัดทำรายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อมประจำปีเพื่อเผยแพร่ให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบ ๓) การพัฒนาตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมของวัด ควรกำหนดตัวชี้วัดที่ครอบคลุมทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ เช่น ร้อยละของขยะที่นำไปรีไซเคิล ปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่ลดลง จำนวนต้นไม้ที่ปลูกเพิ่ม คะแนนการประเมินห้องน้ำตามมาตรฐาน HAS จำนวนข้อร้องเรียนด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการแก้ไข ร้อยละความพึงพอใจของประชาชนต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมของวัด โดยกำหนดค่าเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถบรรลุได้ มีการติดตามและรายงานผลตัวชี้วัดเป็นรายไตรมาสหรือรายปี และนำผลที่ได้มาปรับปรุงการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง

๑.๓) M: Management การจัดการ

การจัดการสิ่งแวดล้อมในวัดในด้าน Management การจัดการ ดังนี้ ๑) การวางระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวมของวัด เริ่มจากการแต่งตั้งคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม กำหนดโครงสร้างการบริหารและบทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน วางระบบการประสานงานระหว่างฝ่ายต่าง ๆ จัดทำคู่มือและแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม กำหนดระบบการติดตามและรายงานผล ๒) การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรด้านสิ่งแวดล้อม ควรจัดทำแผนงบประมาณประจำปีที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ การปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค การฝึกอบรมบุคลากร การจัดกิจกรรมรณรงค์ และการติดตามประเมินผล โดยพิจารณาแหล่งงบประมาณทั้งจากเงินบริจาค เงินผลประโยชน์ของวัด และการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก มีการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ๓) การพัฒนาบุคลากรด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นให้แก่พระสงฆ์ สามเณร และบุคลากรของวัด ผ่านการจัดอบรม การศึกษาดูงาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการฝึกปฏิบัติจริง ในหัวข้อต่างๆ เช่น การคัดแยกขยะ การประหยัดพลังงาน การดูแลต้นไม้ การจัดการน้ำเสีย และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น รวมทั้งส่งเสริมให้มีการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ระหว่างบุคลากร เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

๑.๔) P: Participation การมีส่วนร่วม

การจัดการสิ่งแวดล้อมในวัดในด้าน Participation การมีส่วนร่วม ดังนี้ ๑) การสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เริ่มจากจัดเวทีประชาคมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างวัดและชุมชนในการดูแลสิ่งแวดล้อม เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผน ดำเนินงาน และติดตามประเมินผลโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของวัด เช่น การจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์สิ่งแวดล้อมวัด การจัดกิจกรรม และการจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังด้านสิ่งแวดล้อมในชุมชน ๒) การจัดกิจกรรมรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ด้านสิ่งแวดล้อมในรูปแบบต่างๆ ทั้งป้ายประชาสัมพันธ์ แผ่นพับ และสื่อสังคมออนไลน์ ๓) การสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับพระสงฆ์และประชาชน ดำเนินการผ่านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติจริง เช่น การฝึกอบรมการคัดแยกขยะ การสาธิตการทำปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพ การจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชุมชน การศึกษาดูงานวัดต้นแบบด้านสิ่งแวดล้อม การสอดแทรกหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในการเทศนา และการยกย่องเชิดชูบุคคลหรือหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่นด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

๑.๕) L: Learning Space พื้นที่เรียนรู้

การจัดการสิ่งแวดล้อมในวัดในมิติของการเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม มีแนวทางที่สำคัญ ดังนี้ ๑) การพัฒนาพื้นที่วัดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Learning Center) โดย จัดทำฐานการเรียนรู้ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมในวัด เช่น ฐานการคัดแยกขยะ ฐานการทำปุ๋ยหมัก ฐานพลังงานทดแทน จัดทำป้ายสื่อความหมายให้ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในวัด พัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติภายในวัด ๒) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Learning Activities) เช่น จัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จัดค่ายเยาวชนรักษ์สิ่งแวดล้อม จัดนิทรรศการให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ๓) การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Learning Network) โดยประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการใช้วัดเป็นแหล่งเรียนรู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับวัดและชุมชนอื่น ๆ เผยแพร่องค์ความรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ การพัฒนาวัดให้เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมจะช่วยสร้างความตระหนักและจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แก่พระสงฆ์และประชาชน รวมทั้งเป็นต้นแบบในการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับวัดและชุมชนอื่นๆ

๑.๖) E: Energy พลังงาน

การจัดการพลังงานในวัดตามองค์ประกอบด้าน Energy มีแนวทางการดำเนินงาน ดังนี้ ๑) การจัดทำแผนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สำรวจและวิเคราะห์การใช้พลังงานในวัด ทั้งไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซหุงต้ม เพื่อระบุจุดที่มีการใช้พลังงานสูงและมีโอกาสในการประหยัด จากนั้นจัดทำแผนการอนุรักษ์พลังงานที่ครอบคลุมมาตรการต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนหลอดไฟเป็นแบบ LED การติดตั้งระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ การบำรุงรักษาเครื่องใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ และการรณรงค์ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน ๒) การติดตามและประเมินผลการใช้พลังงาน ดำเนินการโดยจัดทำระบบการบันทึกข้อมูลการใช้พลังงานประจำเดือน วิเคราะห์แนวโน้มการใช้พลังงานและค่าใช้จ่าย เปรียบเทียบผลการประหยัดพลังงานกับเป้าหมายที่กำหนด จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานและข้อเสนอแนะในการปรับปรุง รวมทั้งสื่อสารผลการดำเนินงานให้ผู้เกี่ยวข้องรับทราบเพื่อสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วม ๓) การส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน มุ่งเน้นการนำพลังงานทางเลือกมาใช้ในวัด เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับผลิตไฟฟ้า การใช้เตาชีวมวลในครัววัด การติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์ การใช้หลอด LED พลังงานแสงอาทิตย์สำหรับไฟส่องสว่าง และการจัดทำระบบรวบรวมก๊าซชีวภาพจากเศษอาหาร นอกจากนี้ยังควรจัดทำจุดสาธิตการใช้พลังงานทดแทนเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุมชน

๒. GREEN: กิจกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมในวัด

๒.๑ G: Garbage การจัดการขยะตามหลัก 3R

(๑) Reduce ลดการใช้ มุ่งเน้นการรณรงค์ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกในงานบุญและกิจกรรมทางศาสนา การส่งเสริมการใช้ภาชนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และการจัดทำป้ายรณรงค์ประชาสัมพันธ์ ส่วนกิจกรรมการนำกลับมาใช้ซ้ำ รณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกและโฟมในวัด ส่งเสริมการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จัดกิจกรรมลดปริมาณขยะในวัด

(๒) Reuse การใช้ซ้ำ เน้นการนำวัสดุเหลือใช้มาดัดแปลงเป็นอุปกรณ์ตกแต่งภูมิทัศน์และการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารและใบไม้ ในขณะที่กิจกรรมการรีไซเคิล นำภาชนะมาใช้ซ้ำในกิจกรรมของวัด ดัดแปลงวัสดุเหลือใช้ให้เกิดประโยชน์ และจัดทำธนาคารวัสดุรีไซเคิล

(๓) Recycle การแปรรูปเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ประกอบด้วยการจัดตั้งธนาคารขยะ การคัดแยกขยะรีไซเคิล และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากขยะรีไซเคิล คัดแยกขยะตามประเภท ทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารและใบไม้ สร้างรายได้จากการขายวัสดุรีไซเคิล

๒.๒ R: Restroom การจัดการห้องน้ำ ห้องส้วม ด้านการจัดการห้องน้ำห้องส้วม (Restroom) ผู้มีส่วนร่วมได้ออกแบบกิจกรรมที่มุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานความสะอาดและความปลอดภัย ประกอบด้วยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การจัดระบบการทำความสะอาดประจำวัน การติดตั้งระบบระบายอากาศที่มีประสิทธิภาพ และการจัดทำคู่มือการดูแลรักษาห้องน้ำสำหรับผู้รับผิดชอบพัฒนาห้องน้ำให้ได้มาตรฐาน HAS (Health Accessibility Safety) ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่เหมาะสม จัดระบบการทำความสะอาดและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

๒.๓ E: Energy การจัดการพลังงาน ด้านการจัดการพลังงาน (Energy) กิจกรรมที่ได้รับการออกแบบประกอบด้วยการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ การเปลี่ยนหลอดไฟเป็นแบบประหยัดพลังงาน การติดตั้งระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ และการรณรงค์ประหยัดพลังงานในกิจกรรมต่างๆ ของวัด ติดตั้งระบบพลังงานทดแทน เช่น โซลาร์เซลล์ รณรงค์การประหยัดพลังงานในวัด ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน เช่น หลอด LED

๒.๔ E: Environmental การจัดการสิ่งแวดล้อม ด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental) ผู้มีส่วนร่วมได้ออกแบบกิจกรรมที่ครอบคลุมการจัดการพื้นที่สีเขียว การปรับปรุงภูมิทัศน์ การอนุรักษ์พันธุ์ไม้ท้องถิ่น สวนสมุนไพร การจัดทำแหล่งเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียแบบธรรมชาติ จัดการภูมิทัศน์ให้ร่มรื่น สะอาด สวยงาม ควบคุมมลพิษทางเสียง อากาศ และน้ำ สร้างพื้นที่สีเขียวและแหล่งเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม

๒.๕ N: Nutrition การจัดการสุขาภิบาลอาหารและน้ำ ด้านการจัดการสุขาภิบาลอาหารและน้ำ (Nutrition) กิจกรรมที่ได้รับการออกแบบมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานโรงครัวของวัด การจัดการน้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัย การอบรมผู้ประกอบอาหาร และการจัดระบบการตรวจสอบคุณภาพอาหารและน้ำอย่างสม่ำเสมอ จัดการครัวและโรงอาหาร (หอฉัน) ให้ถูกสุขลักษณะ ควบคุมคุณภาพน้ำดื่ม น้ำใช้ จัดระบบการจัดเก็บและการกำจัดเศษอาหาร

๓. การประยุกต์ใช้หลักอปัสเสนธรรม ๔ และหลักสัปปายะ ๗ ในการจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับเป็นต้นแบบวัดเชิงนิเวศ

องค์ความรู้จากการวิจัยพบว่า การบูรณาการหลักการจัดการสิ่งแวดล้อมกับหลักธรรมทั้งสองประการสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในวัดได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยหลักอปัสเสนธรรมเป็นกรอบแนวคิดในการตัดสินใจและดำเนินการ ในขณะที่หลักสัปปายะ ๗ เป็นเป้าหมายของการพัฒนาในแต่ละด้าน ๑) การพิจารณาแล้วเสพตามหลักอปัสเสนธรรมสามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรและพลังงานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมตามหลักสัปปายะ ๗ เช่น การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาอาวาสสัปปายะ การเลือกใช้พลังงานทดแทนเพื่อสร้างอุตุสัปปายะ และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในการจัดการโภชนสัปปายะ ๒) การพิจารณาแล้วอดกลั้นสามารถนำมาใช้ในการควบคุมและจำกัดการใช้ทรัพยากรที่อาจส่งผลกระทบต่อความเป็นสัปปายะในด้านต่างๆ เช่น การควบคุมการใช้น้ำและพลังงานในการจัดการอาวาสสัปปายะ การควบคุมการใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายในการดูแลพื้นที่เพื่อสร้างอุตุสัปปายะ และการควบคุมการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายยากในการจัดการโภชนสัปปายะ ๓) การพิจารณาแล้วเว้นเสียสามารถนำมาใช้ในการหลีกเลี่ยงกิจกรรมหรือการกระทำที่ขัดต่อหลักสัปปายะ เช่น การงดใช้โฟมและพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวที่ส่งผลกระทบต่ออาวาสสัปปายะและโภชนสัปปายะ การงดการเผาขยะที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศซึ่งกระทบต่ออุตุสัปปายะ และการงดกิจกรรมที่สร้างเสียงดังรบกวนซึ่งส่งผลต่อภัสสสัปปายะ ๔) การพิจารณาแล้วบรรเทาเสียสามารถนำมาใช้ในการแก้ไขและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมเพื่อสร้างความเป็นสัปปายะ เช่น การบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติเพื่อรักษาอาวาสสัปปายะ การปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับมลพิษและสร้างอุตุสัปปายะ และการจัดการขยะอย่างถูกวิธีเพื่อส่งเสริมโภชนสัปปายะ

หลักอปัเสนธรรมทั้ง ๔ ข้อ สามารถปรับภาษาให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่ยังคงแก่นของหลักธรรมไว้ครบถ้วน โดยเน้นการใช้คำที่คนสมัยใหม่คุ้นเคย เช่น การไตร่ตรอง การวิเคราะห์ การใช้วิจารณญาณ แทนคำว่า พิจารณา ในภาษาเดิม และอธิบายความหมายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้ ๑) การไตร่ตรองก่อนเลือกรับ หมายถึง การคิดวิเคราะห์ให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจรับสิ่งใดเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความคิด การกระทำหรือสิ่งของ ๒) การไตร่ตรองแล้วรู้จักอดทน หมายถึง การใช้สติและปัญญาพิจารณาสถานการณ์ที่เผชิญ แล้วเลือกที่จะอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่มากระทบ โดยไม่ตอบโต้หรือหวั่นไหว ๓) การไตร่ตรองแล้วรู้จักหลีกเลี่ยง หมายถึง การใช้วิจารณญาณพิจารณาแล้วเห็นว่าสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ ก็เลือกที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ๔) การไตร่ตรองแล้วรู้จักปล่อยวาง หมายถึง การพิจารณาด้วยปัญญาแล้วเห็นว่าสิ่งใดควรละวาง ก็ปล่อยวางและทำใจให้เป็นอิสระจากสิ่งนั้น

การบูรณาการหลักการจัดการสิ่งแวดล้อมกับหลักธรรมทั้งสองประการนี้จะช่วยให้วัดสามารถพัฒนาเป็นต้นแบบวัดเชิงนิเวศที่มีความสมดุลทั้งในด้านกายภาพ สังคม และจิตใจ โดยการตัดสินใจและดำเนินการทุกอย่างจะต้องผ่านการพิจารณาตามหลักอปัสเสนธรรม และมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเป็นสัปปายะในทุกด้าน อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับวัด ชุมชน และสังคมโดยรวม

Scroll to Top
ห้องวิจัยพุทธศาสตร์อัจฉริยะ BRL: Buddhist Research LAB
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.